วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯกับการจัดการองค์ความรู้ในมุมมองของข้าพเจ้า" นางสาววริณศิญา พงษ์เกษ 5511600293

"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯกับการจัดการองค์ความรู้ในมุมมองของข้าพเจ้า"

                ด้วยเหตุที่ทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า การศึกษานั้นคือการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกล ในอันที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มโอกาสทางการศึกษาของประชาชน ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหลายรูปแบบในโครงการพัฒนา เพื่อนำความร่มเย็นเป็นสุขให้เกิดแก่ประชาชนชาวไทย การนำเทคโนโลยีมามุ่งที่การพัฒนากลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม ได้แก่
1. โรงเรียนในชนบท
2. ผู้พิการ
3. เด็กป่วยในโรงพยาบาล
4. ผู้ต้องโทษคุมขังในเรือนจำทัณฑสถาน และเยาวชนในสถานพินิจ
แนวทางการดำเนินงานตามพระราชดำริ
1.สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริ ที่จะให้งานทั้งหลายที่เกิดในโครงการนี้เป็นงานนำร่อง เพื่อให้เป็นตัวอย่างในการ นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาการศึกษาของนักเรียนในชนบท ส่งเสริมสมรรถภาพของผู้พิการและผู้ด้อยโอกาสในสังคม รวมทั้งการเผยแพร่วัฒนธรรมของไทยแก่ชาวไทยและชาวโลก
2.การดำเนินงานสืบเนื่องจากโครงการนำร่อง มีพระประสงค์ที่จะให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบในเรื่องนั้นๆ มารับช่วงต่อไปพร้อมๆ กับการพัฒนาโรงเรียนอื่นๆ ในความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นด้วย ระหว่างการดำเนินโครงการได้ขอให้หน่วยงานของรัฐบาลเหล่านั้น ช่วยประเมินผลโครงการและกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองพระบาทเป็นระยะ
       สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงตระหนักถึงประโยชน์และความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารราชการและการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเสริมและพัฒนาคุณภาพ และศักยภาพของเด็กไทยในชนบท เด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ ให้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต เพื่อการเรียนรู้ และการประกอบอาชีพ
       โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาของโรงเรียนในชนบท (ทสรช.) จึงเป็นโครงการตามพระราชดำริที่เกิดขึ้นเกือบจะพร้อมกับโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อปลายปีพุทธศักราช 2538 กระทั่งปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 85 แห่ง ต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระราชทานให้ขยายการดำเนินไปยังกลุ่มโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม 15 โรงเรียนในภาคใต้ และกลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรมใน 4 จังหวัดภาคเหนือ

       โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาเริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี 2538 มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของกลุ่ม ผู้ด้อยโอกาสโดยเฉพาะโรงเรียนในชนบท ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอซีที (ICT: Information and Communication Technology) เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และแสวงหาความรู้เพื่อให้มีโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มโอกาสทางการศึกษา และเผยแพร่ผลงานหรือถ่ายทอดส่วนที่สำเร็จด้วยดีแก่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรงในเรื่องนั้นๆ เพื่อรับช่วงต่อในการขยายผลใน วงกว้างต่อไป กิจกรรมที่ดำเนินงานครอบคลุม 4 ด้าน ดังนี้
1. ด้านสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน: เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี โดยจัดโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นแก่โรงเรียนที่ขาดแคลน ได้ดำเนินกิจกรรมดังนี้
    • การสนับสนุนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ที่สนับสนุนการใช้ไอซีทีในการศึกษา
    • การพัฒนาบุคลากรซ่อมบำรุงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เบื้องต้น

2. ด้านสนับสนุนแหล่งเรียนรู้ เนื้อหา และสื่อ: ได้ดำเนินกิจกรรมดังนี้
    • ระบบ e-Learning ของการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (eDLTV)
    • การส่งเสริมการใช้บทเรียน SAS Curriculum Pathways ในประเทศไทย
3. ด้านพัฒนาศักยภาพครู และผู้บริหาร นักเรียน: ได้ดำเนินกิจกรรมดังนี้
   • บูรณาการไอซีทีในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนประถมศึกษา
   • การพัฒนาทักษะด้านอิเล็กทรอนิกส์และการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
   • ไอทีเพื่อการศึกษาของโรงเรียนพระปริยัติธรรม
   • ไอทีเพื่อการศึกษาของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม

4. ด้านการประยุกต์ใช้ไอซีทีเพื่อจัดการเรียนรู้: เพื่อให้ครูสามารถประยุกต์ใช้ไอซีทีจัดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เรียนได้ความรู้ รวมถึงพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่     21 ได้ดำเนินกิจกรรมดังนี้
   • การเรียนรู้สู่การเป็นครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0 จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ
   • สังคมออนไลน์เพื่อพัฒนาเยาวชนนักคิด (KIDkids)
การดำเนินงานที่ผ่านมาของโครงการไอทีเพื่อการศึกษา
1. โครงการพัฒนาการเรียนการสอนด้วยสื่อ Physics Cyber Lab
2. โครงการคัดเลือกบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและจัดทำแผนการสอนเพื่อเผยแพร่ระดับประถมศึกษา
3. โครงการพัฒนา และเผยแพร่การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนระดับมัธยมและประถมศึกษา
4. โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดนครนายก
5. โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์

ซึ่งแต่ละโครงการเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาการศึกษาดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. โครงการพัฒนาการเรียนการสอนด้วยสื่อ Physics Cyber Lab
โครงการนี้ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2545 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบและวิธีการในการนำสื่อการสอน Physics Cyber Lab ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงเพื่อใช้สื่อดังกล่าวเป็นสื่อเสริมการสอนให้กับครูผู้สอนวิชาฟิสิกส์ของโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาฟิสิกส์ให้นักเรียนได้เข้าใจและมีทักษะความชำนาญในวิชาฟิสิกส์เพิ่มมากขึ้น โดยส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
การดำเนินงาน แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
1. โครงการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาฟิสิกส์ระดับชั้นมัธยมศึกษาโดยใช้สื่อ Physics Cyber  Lab
2. โครงการพัฒนาการเรียนการสอน Physics Cyber Lab
3. โครงการติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน การพัฒนาการเรียนการสอนด้วยสื่อ Physics Cyber Lab

2. โครงการคัดเลือกบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและจัดทำแผนการสอนเพื่อเผยแพร่ระดับประถมศึกษาตอนต้น
วัตถุประสงค์ เพื่อคัดเลือก CAI สำเร็จรูปที่มีคุณภาพมาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นสื่อในการเรียนการสอน และจัดทำแผนการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตรในระดับประถมศึกษาตอนต้น พร้อมทั้งอบรมครูผู้สอนถึงการประยุกต์ใช้โปรแกรมการศึกษาเพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอน จากนั้นทำการติดตามประเมินผลเพื่อขยายไปสู่โรงเรียนอื่นๆ ที่เปิดสอนในระดับประถมศึกษาต่อไป
โครงการนี้ ได้เริ่มโครงการนำร่องที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ในเดือนธันวาคม 2541 และดำเนินการประยุกต์ใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในห้องเรียนเรื่อยมา จากนั้นโครงการฯ ได้ขยายผลแนวทางการประยุกต์ใช้สู่โรงเรียนต่างๆ ได้แก่ โรงเรียนศรีสังวาลย์ ในเดือนพฤษภาคม 2544, โรงเรียนกาวิละอนุกูล จังหวัดเชียงใหม่ ในเดือนกันยายน 2544 และโรงเรียนในกลุ่มสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) จำนวน 12 โรงเรียน ซึ่งจะดำเนินการในปี 2545

3. โครงการส่งเสริมไอซีทีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนประถมศึกษา
 เป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อต่อยอดกิจกรรมการประยุกต์ใช้ไอซีทีในการเรียนการสอนให้แก่ โรงเรียนในระดับประถมศึกษา ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการคัดเลือกบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและจัดทำแผนการสอนเพื่อเผยแพร่ในระดับประถมศึกษาตอนต้น (CAI) เดิม โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ครูที่สอนในระดับประถมศึกษา สามารถนำเครื่องมือไอซีที มาส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้แก่นักเรียน เพื่อพัฒนาให้นักเรียนในโครงการฯ ได้มีทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหา รวมถึงเสริมสร้างพฤติกรรมการกล้าคิด กล้าแสดง อันเป็นทักษะหนึ่งที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21
และยังเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์แก่นักเรียนในชนบท อันจะส่งผลต่อการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในอนาคตต่อไป
    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงตระหนักถึงประโยชน์ และศักยภาพของเทคโนโลยี สารสนเทศหรือไอซีที ในการพัฒนาประเทศและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ด้อยโอกาส และได้ทรงริเริ่มให้จัดทำโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริขึ้นในปี พ.ศ.2538 ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการยกระดับคุณภาพชีวิต และเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนในชนบทได้มีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ตลอดจนพัฒนาครูและบุคลากรของโรงเรียนในชนบทให้สามารถใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้แก่นักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในการดำเนินโครงการฯ ที่ผ่านมา มุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้ ICT ในการเรียนการสอนระดับมัธยมศึกษาเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากโรงเรียนส่วนใหญ่ในโครงการฯ เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษา นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงความพร้อมของครู และโครงสร้างพื้นฐานในโรงเรียนที่จำเป็นต่อการนำ ICT มาประยุกต์ใช้ ณ ขณะนั้น พบว่าในระดับมัธยมศึกษาจะมีความพร้อมมากกว่า โดยในระดับประถมศึกษา จะมีเพียงการดำเนินโครงการคัดเลือกบทเรียนช่วยสอนและจัดทำแผนการสอน สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น ที่เป็นการจัดหาโปรแกรม CAI ที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ เพื่อมอบให้แก่โรงเรียนได้ใช้ในการเรียนการสอนเท่านั้น โดยในการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว ได้มีการจัดอบรมความรู้ในการใช้โปรแกรม การจัดทำแผนการสอน และแผนกิจกรรม เพื่อให้ครูสามารถนำ CAI ดังกล่าวมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งพบว่า ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยโรงเรียนยังคงใช้งานโปรแกรมดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีความสามารถในการคัดเลือกโปรแกรมใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้เพิ่มเติม นอกจากนี้ฝ่ายเลขานุการฯ ยังได้จัดให้มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การใช้งานโปรแกรม และการจัดกิจกรรมในห้องเรียน ระหว่างโรงเรียนในโครงการอย่างสม่ำเสมอปีละครั้งด้วย
     อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบันพบว่า สถานภาพด้านการมีคอมพิวเตอร์และโครงสร้างพื้นฐาน เช่นอินเทอร์เน็ต ในโรงเรียนในโครงการฯ มีความพร้อมมากขึ้น อีกทั้งปัจจุบันก็มีเครื่องมือและวิธีการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบที่หลากหลายให้ครูได้เลือกใช้มากขึ้น จึงควรริเริ่มโครงการที่เน้นการพัฒนาการเรียนการสอนกับกลุ่มโรงเรียนประถมศึกษา หรือกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาในโรงเรียน ทสรช. ด้วย(โรงเรียน ทสรช. ส่วนใหญ่มีนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาตอนต้นจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่ที่ผ่านมาโครงการฯ จะเน้นการทำโครงการย่อยหรือกิจกรรมสำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษามากกว่า) ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอโครงการพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนประถมศึกษา เป็นโครงการใหม่ที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2553 ภายใต้โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ โดยมีวัตถุประสงค์โดยรวมคือเพื่อให้ครูที่สอนในระดับประถมศึกษาของโรงเรียนในโครงการฯ สามารถนำเครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศ มาส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนในหลากหลายสาขาวิชามากขึ้น ร่วมถึงมุ่งหวังให้นักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ และเสริมสร้างพฤติกรรม การกล้าคิด กล้าแสดง ให้แก่นักเรียนอย่างยั่งยืนต่อไป
ในการดำเนินงาน ฝ่ายเลขานุการโครงการฯ จะร่วมมือกับ ฝ่ายสร้างความตระหนักทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสังคม ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินการจัดทำ โครงการพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนประถมศึกษาขึ้น เพื่อพัฒนาให้ครูในโรงเรียนสามารถนำเทคนิคการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ในรูปแบบที่หลากหลาย มาประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องมือไอซีที เพื่อส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ และปลูกฝังทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ให้แก่นักเรียน
วัตถุประสงค์
1. เพื่อปลูกฝังให้นักเรียนมีความคิดเป็นเหตุเป็นผล ชอบศึกษาค้นคว้า และพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้เครื่องมือไอซีทีช่วยในการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้
2. เพื่อพัฒนาให้ครูสามารถนำเทคนิคการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ในรูปแบบที่หลากหลาย มาประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องมือไอซีที เพื่อส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้แก่นักเรียนในโรงเรียนต่อไป
3. สนับสนุนให้โรงเรียนจัดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเปิดโอกาสในการช่วยพัฒนากระบวนการคิดของนักเรียนผ่านกิจกรรมวิทยาศาสตร์ อย่างต่อเนื่อง
4. ส่งเสริมให้ครู และนักเรียนได้มีโอกาสเข้าร่วมในกิจกรรม และเผยแพร่ผลงานในเวทีทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของหน่วยงานต่าง ๆ
5. เกิดแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และรวบร่วมผลงาน ข้อมูลการจัดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนในโครงการ ฯ รวมทั้งบันทึกประสบการณ์ของครูและนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อเผยแพร่ให้แก่โรงเรียนอื่น ๆ ในรูปแบบออนไลน์ต่อไป

4. โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์

วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ให้มีความพร้อมด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และเครื่องมือช่วยการเรียนการสอน เนื่องจากเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนเฉพาะระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ โดยเน้นการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และการค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนผู้มีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สามารถแสวงหาและเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การดำเนินงาน โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ได้รับพระราชทานเครื่องคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ IBM Pentium-100 พร้อมระบบ Multimedia จำนวน 20 เครื่อง ปัจจุบันโรงเรียนได้เปิดสอนวิชาพื้นฐาน วิชาอาชีพ รายวิชาคอมพิวเตอร์ ให้แก่นักเรียนทุกคนของโรงเรียน และในปีที่ผ่านมา โรงเรียนได้จัดอบรมให้แก่ครู-อาจารย์ในจังหวัดนครปฐม 2 รุ่นๆ ละ 35 คน, อบรมผู้บริหารโรงเรียนในจังหวัดนครปฐมเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์, อบรมครู-อาจารย์ในโรงเรียนเกี่ยวกับการใช้ Windows 95 และการจัดทำโปรแกรม CAI และฝึกนักเรียนให้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตและเขียน home page โดยใช้ภาษา HTML
นอกจากนี้ โรงเรียนได้เข้าร่วมในโครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย (SchoolNet) ตั้งแต่ปี 2538 เพื่อให้นักเรียนใช้ค้นข้อมูล และการสอนให้ทำ home page ในปี 2541 นี้ โรงเรียนได้ทำการปรับปรุงระบบอินเทอร์เน็ตของโรงเรียนเพื่อเป็น Internet Node สำหรับผู้ใช้จำนวน 30 คน ดังนี้
1. ทำการปรับปรุงห้อง Internet ให้เป็นระบบ Intranet และสามารถเชื่อมต่อ Internet ได้จำนวน 35 เครื่อง โดยใช้ Software Webram ผ่าน Modem จำนวน 3 ตัว ใช้งบเงินของสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จำนวน 250,000 บาท ในปีการศึกษา 2541 ได้เปิดให้นักเรียนและครู-อาจารย์ใช้บริการทุกวัน
2. โรงเรียนได้ปรับปรุงห้องคอมพิวเตอร์ ให้นักเรียนสามารถใช้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เงินของสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ในการปรับปรุง ในปีการศึกษา 2541 จำนวน 350,000 บาท
3. โรงเรียนได้จัดซื้อคอมพิวเตอร์ สำหรับครูใช้งานในห้องวิชาการ จำนวน 5 เครื่อง โดยใช้เงินของสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จำนวน 150,000 บาท
4. โรงเรียนได้ปรับระบบการบริหารโรงเรียนโดยสามารถเชื่อมข้อมูลกันได้ทุกฝ่าย ผ่าน Server ที่ใช้ระบบ Windows NT ใช้เงินของสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จำนวน 250,000 บาท
5. โรงเรียนได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานโปรแกรมห้องสมุดของบริษัท ISOFAC มาติดตั้งที่ Server ระบบบริหารของโรงเรียน เพื่อเป็นโปรแกรมใช้งานบริการของห้องสมุด ซึ่งขณะนี้ โรงเรียนกำลังฝึกหัดเจ้าหน้าที่ในการใช้โปรแกรมนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถใช้งานโปรแกรมนี้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว โรงเรียนจะติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้การบริการแก่นักเรียนที่ห้องสมุด จำนวน 5 ชุด เป็นเงินจำนวน 250,000 บาท
5. โครงการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ตามแนวคอนสตรักชันนิสต์ สู่การปฏิบัติของครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0 จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ
โรงเรียนในโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนกลุ่มด้อยโอกาสที่อยู่ห่างไกลในชนบท ฝ่ายเลขานุการโครงการฯเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนากำลังคน ครู เยาวชนในชนบทหรือท้องถิ่นทุรกันดาร ดังกล่าว จึงดำเนินกิจกรรมหนึ่งที่มุ่งเน้นให้ครูสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีทีจัดการเรียนการสอน อันจะมุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ผ่านการนำไอซีทีมาใช้เป็นเครื่องมือในเรียนรู้เนื้อหาสาระ มีศักยภาพในการเลือก รับ วิเคราะห์ ตัดสินใจในข้อมูล รวมทั้งส่งเสริมให้มีทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21
ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะสำคัญ 5 ประการคือ ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ในปี 2554 ที่ผ่านมาได้ดำเนินกิจกรรมที่ให้ความสำคัญกับการนำไอซีทีมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ดำเนินงานโครงการวิจัยเรื่อง การพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียนยุคใหม่เพื่อรองรับการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองด้วยการบูรณาการไอซีทีในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงานโดยมุ่งเน้นการใช้ไอซีทีจัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ เป็นการจัดการเรียนการสอนตามแนวทางของ คอนสตรักชันนิสต์ ที่เน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการวางแผนออกแบบ และสร้างสิ่งที่มีความหมายกับตนเองอย่างตื่นตัวในบริบทสังคม โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีที มาเป็นเครื่องมือให้ผู้เรียนสร้างเป็นชิ้นงานและตอบสนองความคิดและจินตนาการของผู้เรียน ให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนและเนื้อหาสาระที่ครูสอน ซึ่งผลจากการทำโครงการวิจัยเรื่อง การพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียนยุคใหม่เพื่อรองรับการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองด้วยการบูรณาการไอซีทีในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงาน ได้ข้อสรุปว่าวิธีการบูรณาการไอซีทีในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงาน สามารถพัฒนาผู้เรียนด้านความรู้เนื้อหาสาระ และสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนทั้ง 5 ด้านได้ ได้แก่ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และการใช้ทักษะชีวิต นอกจากนี้ ยังพบว่า การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ เป็นปัจจัยความสำเร็จ ที่จำเป็นอย่างยิ่ง ต่อการบูรณาการไอซีทีในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ แม้โรงเรียนจะมีปัจจัยอื่น ๆ ไม่สมบูรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ หรืออินเทอร์เน็ตที่ไม่สะดวกต่อการใช้งาน แต่ครูที่มีการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้สามารถดำเนินการจัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสร้างผลิตผลหรือชิ้นงานได้ ในขณะครูที่ยึดติดอยู่กับกรอบความคิดแบบเดิมเดิม ยังเชื่อว่าการสอนที่เน้นการบรรยายอธิบายจากครูทำให้ผู้เรียนได้ความรู้เนื้อหามากกว่า จึงมุ่งถ่ายทอดเนื้อหาให้ครบตามหลักสูตร โดยผู้เรียนไม่มีโอกาสใช้ไอซีทีสร้างชิ้นงานหรือทำโครงการในการเรียนรู้ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ของครูจึงเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ

     ดังนั้น คณะทำงานจึงสนใจศึกษา การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ตามแนวคอนสตรักชันนิสต์ สู่การปฏิบัติของครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0 จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ โดยใช้กระบวนการวิจัยในการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล โดยทดลองศึกษาเชิงลึกที่โรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต จ.กาญจนบุรี ในการดำเนินงานจะจัดกิจกรรมปรับกระบวนทัศน์การเรียนรู้/พัฒนาครูให้สามารถใช้เครื่องมือเว็บ 2.0 จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการได้ ศึกษาผลที่เกิดขึ้นกับครูและนักเรียนที่เรียนกับครูที่เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อเป็นกรณีตัวอย่างให้กับโรงเรียนในชนบทอื่น ๆ และคาดหวังว่าจะรวบรวมองค์ความรู้จากการดำเนินงานจัดทำเป็นหนังสือ/เอกสารเผยแพร่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0/เทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ ตามแนวคอนสตรักชันนิสต์ และ/หรือ หนังสือแนวทางพัฒนาครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ เพื่อใช้ประโยชน์ในวงกว้างต่อไป
วัตถุประสงค์เพื่อ:
1) พัฒนาครู/ปรับกระบวนทัศน์การเรียนรู้ของครู ในโรงเรียนโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้สามารถใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0 จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการตามแนวคอนสตรักชันนิสต์
2) ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนา อาทิ มีผลการเรียนรู้เนื้อหาในระดับที่สูงขึ้น พัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน และมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้
3) จัดทำรายงานผลการศึกษา / กรณีศึกษาของครู /กรณีศึกษาของนักเรียน จากการดำเนินงานโครงการฯ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับครูโรงเรียนในชนบทอื่น ๆ
4) จัดทำคู่มือ/แนวทาง การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ของครูในการบูรณาการเทคโนโลยีเว็บ 2.0 ในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ
5) จัดทำหนังสือเผยแพร่ในวงกว้าง เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0 / เทคโนโลยีสมัยใหม่จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ และ/หรือ หนังสือแนวทางพัฒนาครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ

ดังนั้นจากหลายๆโครงการเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาพัฒนาด้านการศึกษา ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงตระหนักในความสำคัญของการศึกษาเป็นอย่างมาก การจัดการองค์ความรู้ ในมุมมองของข้าพเจ้านั้นจึงเกี่ยวกับการศึกษาในทศวรรษหน้า ความรู้สากลเป็นความรู้ในระดับโลก ความรู้ในระดับประเทศโดยกำหนดว่าคนไทยควรต้องเรียนรู้เรื่องอะไรบ้าง และความรู้ระดับท้องถิ่น เรียนรู้ถึงความเป็นมาของท้องถิ่นนั้นให้สามารถโยงองค์ความรู้ทั้ง 3 ระดับ ให้เข้ากันให้ได้ นั้นต้องมีตัวช่วยนั่นคือ การใช้คอมพิวเตอร์ ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ Information Technology หรือ IT ก้าวหน้าไปมาก คอมพิวเตอร์กลายเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในการประมวลข้อมูลในทุกๆ ด้าน ทุกสาขาวิชาจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตเข้ามาช่วยทุกอย่าง ชีวิตของผู้คนต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์มากขึ้น คงจะหายากที่ว่า ทำอะไรแล้วไม่ใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์จึงมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ผู้ที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ หรือผู้ที่มีความรู้ในด้านคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นสาขาใด วิชาชีพใดก็ตาม จะได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ เป็นหลายเท่า ที่สำคัญหางานทำได้ง่ายขึ้น จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของคอมพิวเตอร์มีมากต่อชีวิตในปัจจุบันของมนุษย์มากขึ้นจริงๆ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น