"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯกับการจัดการองค์ความรู้ในมุมมองของข้าพเจ้า"
ด้วยเหตุที่ทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า
การศึกษานั้นคือการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกล ในอันที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มโอกาสทางการศึกษาของประชาชน
ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ที่ได้ทรงใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหลายรูปแบบในโครงการพัฒนา
เพื่อนำความร่มเย็นเป็นสุขให้เกิดแก่ประชาชนชาวไทย การนำเทคโนโลยีมามุ่งที่การพัฒนากลุ่มเป้าหมาย
4 กลุ่ม ได้แก่
1.
โรงเรียนในชนบท
2.
ผู้พิการ
3.
เด็กป่วยในโรงพยาบาล
4.
ผู้ต้องโทษคุมขังในเรือนจำทัณฑสถาน และเยาวชนในสถานพินิจ
แนวทางการดำเนินงานตามพระราชดำริ
1.สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริ
ที่จะให้งานทั้งหลายที่เกิดในโครงการนี้เป็นงานนำร่อง เพื่อให้เป็นตัวอย่างในการ
นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาการศึกษาของนักเรียนในชนบท
ส่งเสริมสมรรถภาพของผู้พิการและผู้ด้อยโอกาสในสังคม
รวมทั้งการเผยแพร่วัฒนธรรมของไทยแก่ชาวไทยและชาวโลก
2.การดำเนินงานสืบเนื่องจากโครงการนำร่อง
มีพระประสงค์ที่จะให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบในเรื่องนั้นๆ
มารับช่วงต่อไปพร้อมๆ กับการพัฒนาโรงเรียนอื่นๆ ในความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นด้วย
ระหว่างการดำเนินโครงการได้ขอให้หน่วยงานของรัฐบาลเหล่านั้น
ช่วยประเมินผลโครงการและกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองพระบาทเป็นระยะ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ทรงตระหนักถึงประโยชน์และความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารราชการและการพัฒนาประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเสริมและพัฒนาคุณภาพ และศักยภาพของเด็กไทยในชนบท
เด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ
ให้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต เพื่อการเรียนรู้
และการประกอบอาชีพ
โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาของโรงเรียนในชนบท (ทสรช.)
จึงเป็นโครงการตามพระราชดำริที่เกิดขึ้นเกือบจะพร้อมกับโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา
ฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อปลายปีพุทธศักราช 2538
กระทั่งปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 85 แห่ง
ต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระราชทานให้ขยายการดำเนินไปยังกลุ่มโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม
15 โรงเรียนในภาคใต้ และกลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรมใน 4 จังหวัดภาคเหนือ
โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาเริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี 2538
มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของกลุ่ม ผู้ด้อยโอกาสโดยเฉพาะโรงเรียนในชนบท
ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอซีที (ICT: Information and Communication
Technology) เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และแสวงหาความรู้เพื่อให้มีโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิต
เพิ่มโอกาสทางการศึกษา
และเผยแพร่ผลงานหรือถ่ายทอดส่วนที่สำเร็จด้วยดีแก่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรงในเรื่องนั้นๆ
เพื่อรับช่วงต่อในการขยายผลใน วงกว้างต่อไป กิจกรรมที่ดำเนินงานครอบคลุม 4 ด้าน ดังนี้
1. ด้านสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน:
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี
โดยจัดโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นแก่โรงเรียนที่ขาดแคลน ได้ดำเนินกิจกรรมดังนี้
• การสนับสนุนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
ที่สนับสนุนการใช้ไอซีทีในการศึกษา
• การพัฒนาบุคลากรซ่อมบำรุงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เบื้องต้น
2. ด้านสนับสนุนแหล่งเรียนรู้ เนื้อหา และสื่อ: ได้ดำเนินกิจกรรมดังนี้
• ระบบ e-Learning ของการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (eDLTV)
• การส่งเสริมการใช้บทเรียน SAS
Curriculum Pathways ในประเทศไทย
3. ด้านพัฒนาศักยภาพครู และผู้บริหาร นักเรียน: ได้ดำเนินกิจกรรมดังนี้
• บูรณาการไอซีทีในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนประถมศึกษา
• การพัฒนาทักษะด้านอิเล็กทรอนิกส์และการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
• ไอทีเพื่อการศึกษาของโรงเรียนพระปริยัติธรรม
• ไอทีเพื่อการศึกษาของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม
4. ด้านการประยุกต์ใช้ไอซีทีเพื่อจัดการเรียนรู้:
เพื่อให้ครูสามารถประยุกต์ใช้ไอซีทีจัดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำให้ผู้เรียนได้ความรู้ รวมถึงพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21
ได้ดำเนินกิจกรรมดังนี้
• การเรียนรู้สู่การเป็นครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีเว็บ
2.0 จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ
• สังคมออนไลน์เพื่อพัฒนาเยาวชนนักคิด
(KIDkids)
การดำเนินงานที่ผ่านมาของโครงการไอทีเพื่อการศึกษา
1. โครงการพัฒนาการเรียนการสอนด้วยสื่อ Physics Cyber Lab
2. โครงการคัดเลือกบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและจัดทำแผนการสอนเพื่อเผยแพร่ระดับประถมศึกษา
3. โครงการพัฒนา และเผยแพร่การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนระดับมัธยมและประถมศึกษา
4. โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดนครนายก
5. โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
ซึ่งแต่ละโครงการเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาการศึกษาดังรายละเอียดต่อไปนี้
1.
โครงการพัฒนาการเรียนการสอนด้วยสื่อ Physics Cyber Lab
โครงการนี้ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี
2545 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบและวิธีการในการนำสื่อการสอน Physics
Cyber Lab ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
รวมถึงเพื่อใช้สื่อดังกล่าวเป็นสื่อเสริมการสอนให้กับครูผู้สอนวิชาฟิสิกส์ของโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ
นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาฟิสิกส์ให้นักเรียนได้เข้าใจและมีทักษะความชำนาญในวิชาฟิสิกส์เพิ่มมากขึ้น
โดยส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
การดำเนินงาน
แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
1. โครงการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาฟิสิกส์ระดับชั้นมัธยมศึกษาโดยใช้สื่อ Physics
Cyber Lab
2. โครงการพัฒนาการเรียนการสอน Physics Cyber Lab
3. โครงการติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน การพัฒนาการเรียนการสอนด้วยสื่อ Physics
Cyber Lab
2.
โครงการคัดเลือกบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและจัดทำแผนการสอนเพื่อเผยแพร่ระดับประถมศึกษาตอนต้น
วัตถุประสงค์ เพื่อคัดเลือก CAI สำเร็จรูปที่มีคุณภาพมาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นสื่อในการเรียนการสอน
และจัดทำแผนการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตรในระดับประถมศึกษาตอนต้น พร้อมทั้งอบรมครูผู้สอนถึงการประยุกต์ใช้โปรแกรมการศึกษาเพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอน
จากนั้นทำการติดตามประเมินผลเพื่อขยายไปสู่โรงเรียนอื่นๆ
ที่เปิดสอนในระดับประถมศึกษาต่อไป
โครงการนี้
ได้เริ่มโครงการนำร่องที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ในเดือนธันวาคม 2541
และดำเนินการประยุกต์ใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในห้องเรียนเรื่อยมา
จากนั้นโครงการฯ ได้ขยายผลแนวทางการประยุกต์ใช้สู่โรงเรียนต่างๆ ได้แก่
โรงเรียนศรีสังวาลย์ ในเดือนพฤษภาคม 2544, โรงเรียนกาวิละอนุกูล
จังหวัดเชียงใหม่ ในเดือนกันยายน 2544
และโรงเรียนในกลุ่มสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) จำนวน 12 โรงเรียน ซึ่งจะดำเนินการในปี 2545
3.
โครงการส่งเสริมไอซีทีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนประถมศึกษา
เป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อต่อยอดกิจกรรมการประยุกต์ใช้ไอซีทีในการเรียนการสอนให้แก่
โรงเรียนในระดับประถมศึกษา
ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการคัดเลือกบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและจัดทำแผนการสอนเพื่อเผยแพร่ในระดับประถมศึกษาตอนต้น
(CAI) เดิม โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ครูที่สอนในระดับประถมศึกษา
สามารถนำเครื่องมือไอซีที มาส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้แก่นักเรียน
เพื่อพัฒนาให้นักเรียนในโครงการฯ ได้มีทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหา
รวมถึงเสริมสร้างพฤติกรรมการกล้าคิด กล้าแสดง
อันเป็นทักษะหนึ่งที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21
และยังเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์แก่นักเรียนในชนบท
อันจะส่งผลต่อการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในอนาคตต่อไป
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ทรงตระหนักถึงประโยชน์ และศักยภาพของเทคโนโลยี สารสนเทศหรือไอซีที
ในการพัฒนาประเทศและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ด้อยโอกาส
และได้ทรงริเริ่มให้จัดทำโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริขึ้นในปี พ.ศ.2538
ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการยกระดับคุณภาพชีวิต
และเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนในชนบทได้มีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
ตลอดจนพัฒนาครูและบุคลากรของโรงเรียนในชนบทให้สามารถใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้แก่นักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในการดำเนินโครงการฯ
ที่ผ่านมา มุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้ ICT ในการเรียนการสอนระดับมัธยมศึกษาเป็นส่วนใหญ่
เนื่องจากโรงเรียนส่วนใหญ่ในโครงการฯ เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษา นอกจากนี้
เมื่อพิจารณาถึงความพร้อมของครู และโครงสร้างพื้นฐานในโรงเรียนที่จำเป็นต่อการนำ ICT
มาประยุกต์ใช้ ณ ขณะนั้น พบว่าในระดับมัธยมศึกษาจะมีความพร้อมมากกว่า
โดยในระดับประถมศึกษา
จะมีเพียงการดำเนินโครงการคัดเลือกบทเรียนช่วยสอนและจัดทำแผนการสอน
สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น ที่เป็นการจัดหาโปรแกรม CAI ที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ
เพื่อมอบให้แก่โรงเรียนได้ใช้ในการเรียนการสอนเท่านั้น โดยในการดำเนินโครงการฯ
ดังกล่าว ได้มีการจัดอบรมความรู้ในการใช้โปรแกรม การจัดทำแผนการสอน และแผนกิจกรรม
เพื่อให้ครูสามารถนำ CAI ดังกล่าวมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งพบว่า ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
โดยโรงเรียนยังคงใช้งานโปรแกรมดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีความสามารถในการคัดเลือกโปรแกรมใหม่ๆ
มาประยุกต์ใช้เพิ่มเติม นอกจากนี้ฝ่ายเลขานุการฯ
ยังได้จัดให้มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การใช้งานโปรแกรม
และการจัดกิจกรรมในห้องเรียน ระหว่างโรงเรียนในโครงการอย่างสม่ำเสมอปีละครั้งด้วย
อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบันพบว่า สถานภาพด้านการมีคอมพิวเตอร์และโครงสร้างพื้นฐาน
เช่นอินเทอร์เน็ต ในโรงเรียนในโครงการฯ มีความพร้อมมากขึ้น
อีกทั้งปัจจุบันก็มีเครื่องมือและวิธีการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบที่หลากหลายให้ครูได้เลือกใช้มากขึ้น
จึงควรริเริ่มโครงการที่เน้นการพัฒนาการเรียนการสอนกับกลุ่มโรงเรียนประถมศึกษา
หรือกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาในโรงเรียน ทสรช. ด้วย(โรงเรียน ทสรช.
ส่วนใหญ่มีนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาตอนต้นจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย
แต่ที่ผ่านมาโครงการฯ
จะเน้นการทำโครงการย่อยหรือกิจกรรมสำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษามากกว่า)
ฝ่ายเลขานุการฯ
จึงได้เสนอโครงการพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนประถมศึกษา
เป็นโครงการใหม่ที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2553
ภายใต้โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ
โดยมีวัตถุประสงค์โดยรวมคือเพื่อให้ครูที่สอนในระดับประถมศึกษาของโรงเรียนในโครงการฯ
สามารถนำเครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศ
มาส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนในหลากหลายสาขาวิชามากขึ้น
ร่วมถึงมุ่งหวังให้นักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ และเสริมสร้างพฤติกรรม
การกล้าคิด กล้าแสดง ให้แก่นักเรียนอย่างยั่งยืนต่อไป
ในการดำเนินงาน
ฝ่ายเลขานุการโครงการฯ จะร่วมมือกับ
ฝ่ายสร้างความตระหนักทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสังคม
ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินการจัดทำ “โครงการพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนประถมศึกษา”
ขึ้น
เพื่อพัฒนาให้ครูในโรงเรียนสามารถนำเทคนิคการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
ในรูปแบบที่หลากหลาย มาประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องมือไอซีที
เพื่อส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ และปลูกฝังทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ให้แก่นักเรียน
วัตถุประสงค์
1.
เพื่อปลูกฝังให้นักเรียนมีความคิดเป็นเหตุเป็นผล ชอบศึกษาค้นคว้า
และพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้เครื่องมือไอซีทีช่วยในการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้
2.
เพื่อพัฒนาให้ครูสามารถนำเทคนิคการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
ในรูปแบบที่หลากหลาย มาประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องมือไอซีที
เพื่อส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้แก่นักเรียนในโรงเรียนต่อไป
3.
สนับสนุนให้โรงเรียนจัดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์
เพื่อเปิดโอกาสในการช่วยพัฒนากระบวนการคิดของนักเรียนผ่านกิจกรรมวิทยาศาสตร์
อย่างต่อเนื่อง
4.
ส่งเสริมให้ครู และนักเรียนได้มีโอกาสเข้าร่วมในกิจกรรม
และเผยแพร่ผลงานในเวทีทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของหน่วยงานต่าง ๆ
5.
เกิดแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และรวบร่วมผลงาน
ข้อมูลการจัดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนในโครงการ ฯ
รวมทั้งบันทึกประสบการณ์ของครูและนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม
เพื่อเผยแพร่ให้แก่โรงเรียนอื่น ๆ ในรูปแบบออนไลน์ต่อไป
4.
โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
ให้มีความพร้อมด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และเครื่องมือช่วยการเรียนการสอน
เนื่องจากเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนเฉพาะระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทางด้านวิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ โดยเน้นการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และการค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ต
เพื่อให้นักเรียนผู้มีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
สามารถแสวงหาและเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การดำเนินงาน โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
ได้รับพระราชทานเครื่องคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ IBM Pentium-100 พร้อมระบบ Multimedia
จำนวน 20 เครื่อง ปัจจุบันโรงเรียนได้เปิดสอนวิชาพื้นฐาน วิชาอาชีพ
รายวิชาคอมพิวเตอร์ ให้แก่นักเรียนทุกคนของโรงเรียน และในปีที่ผ่านมา
โรงเรียนได้จัดอบรมให้แก่ครู-อาจารย์ในจังหวัดนครปฐม 2 รุ่นๆ ละ 35 คน, อบรมผู้บริหารโรงเรียนในจังหวัดนครปฐมเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์, อบรมครู-อาจารย์ในโรงเรียนเกี่ยวกับการใช้ Windows 95
และการจัดทำโปรแกรม CAI และฝึกนักเรียนให้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตและเขียน
home page โดยใช้ภาษา HTML
นอกจากนี้ โรงเรียนได้เข้าร่วมในโครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย
(SchoolNet)
ตั้งแต่ปี 2538 เพื่อให้นักเรียนใช้ค้นข้อมูล และการสอนให้ทำ home
page ในปี 2541 นี้
โรงเรียนได้ทำการปรับปรุงระบบอินเทอร์เน็ตของโรงเรียนเพื่อเป็น Internet
Node สำหรับผู้ใช้จำนวน 30 คน ดังนี้
1. ทำการปรับปรุงห้อง Internet ให้เป็นระบบ Intranet
และสามารถเชื่อมต่อ Internet ได้จำนวน 35
เครื่อง โดยใช้ Software Webram ผ่าน Modem จำนวน 3 ตัว ใช้งบเงินของสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
จำนวน 250,000 บาท ในปีการศึกษา 2541
ได้เปิดให้นักเรียนและครู-อาจารย์ใช้บริการทุกวัน
2. โรงเรียนได้ปรับปรุงห้องคอมพิวเตอร์
ให้นักเรียนสามารถใช้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยใช้เงินของสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ในการปรับปรุง
ในปีการศึกษา 2541 จำนวน 350,000 บาท
3. โรงเรียนได้จัดซื้อคอมพิวเตอร์
สำหรับครูใช้งานในห้องวิชาการ จำนวน 5 เครื่อง
โดยใช้เงินของสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จำนวน 150,000
บาท
4.
โรงเรียนได้ปรับระบบการบริหารโรงเรียนโดยสามารถเชื่อมข้อมูลกันได้ทุกฝ่าย ผ่าน Server ที่ใช้ระบบ Windows NT ใช้เงินของสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
จำนวน 250,000 บาท
5. โรงเรียนได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานโปรแกรมห้องสมุดของบริษัท ISOFAC มาติดตั้งที่ Server ระบบบริหารของโรงเรียน
เพื่อเป็นโปรแกรมใช้งานบริการของห้องสมุด ซึ่งขณะนี้
โรงเรียนกำลังฝึกหัดเจ้าหน้าที่ในการใช้โปรแกรมนี้
เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถใช้งานโปรแกรมนี้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
โรงเรียนจะติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้การบริการแก่นักเรียนที่ห้องสมุด
จำนวน 5 ชุด เป็นเงินจำนวน 250,000 บาท
5.
โครงการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ตามแนวคอนสตรักชันนิสต์
สู่การปฏิบัติของครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0
จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ
โรงเรียนในโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนกลุ่มด้อยโอกาสที่อยู่ห่างไกลในชนบท
ฝ่ายเลขานุการโครงการฯเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนากำลังคน ครู
เยาวชนในชนบทหรือท้องถิ่นทุรกันดาร ดังกล่าว
จึงดำเนินกิจกรรมหนึ่งที่มุ่งเน้นให้ครูสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีทีจัดการเรียนการสอน
อันจะมุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ผ่านการนำไอซีทีมาใช้เป็นเครื่องมือในเรียนรู้เนื้อหาสาระ
มีศักยภาพในการเลือก รับ วิเคราะห์ ตัดสินใจในข้อมูล
รวมทั้งส่งเสริมให้มีทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21
ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551
ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะสำคัญ 5 ประการคือ
ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา
ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ในปี 2554
ที่ผ่านมาได้ดำเนินกิจกรรมที่ให้ความสำคัญกับการนำไอซีทีมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน
ดำเนินงานโครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียนยุคใหม่เพื่อรองรับการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองด้วยการบูรณาการไอซีทีในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงาน”
โดยมุ่งเน้นการใช้ไอซีทีจัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ เป็นการจัดการเรียนการสอนตามแนวทางของ
คอนสตรักชันนิสต์ ที่เน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการวางแผนออกแบบ
และสร้างสิ่งที่มีความหมายกับตนเองอย่างตื่นตัวในบริบทสังคม
โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีที
มาเป็นเครื่องมือให้ผู้เรียนสร้างเป็นชิ้นงานและตอบสนองความคิดและจินตนาการของผู้เรียน
ให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนและเนื้อหาสาระที่ครูสอน
ซึ่งผลจากการทำโครงการวิจัยเรื่อง “การพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียนยุคใหม่เพื่อรองรับการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองด้วยการบูรณาการไอซีทีในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงาน
ได้ข้อสรุปว่าวิธีการบูรณาการไอซีทีในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงาน
สามารถพัฒนาผู้เรียนด้านความรู้เนื้อหาสาระ และสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนทั้ง 5 ด้านได้ ได้แก่ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา
การใช้เทคโนโลยี และการใช้ทักษะชีวิต นอกจากนี้ ยังพบว่า
การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ เป็นปัจจัยความสำเร็จ ที่จำเป็นอย่างยิ่ง
ต่อการบูรณาการไอซีทีในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ แม้โรงเรียนจะมีปัจจัยอื่น ๆ
ไม่สมบูรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ หรืออินเทอร์เน็ตที่ไม่สะดวกต่อการใช้งาน
แต่ครูที่มีการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้สามารถดำเนินการจัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสร้างผลิตผลหรือชิ้นงานได้
ในขณะครูที่ยึดติดอยู่กับกรอบความคิดแบบเดิมเดิม
ยังเชื่อว่าการสอนที่เน้นการบรรยายอธิบายจากครูทำให้ผู้เรียนได้ความรู้เนื้อหามากกว่า
จึงมุ่งถ่ายทอดเนื้อหาให้ครบตามหลักสูตร โดยผู้เรียนไม่มีโอกาสใช้ไอซีทีสร้างชิ้นงานหรือทำโครงการในการเรียนรู้
ดังนั้นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ของครูจึงเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ
ดังนั้น คณะทำงานจึงสนใจศึกษา
การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ตามแนวคอนสตรักชันนิสต์
สู่การปฏิบัติของครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0
จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ โดยใช้กระบวนการวิจัยในการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล
โดยทดลองศึกษาเชิงลึกที่โรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต จ.กาญจนบุรี
ในการดำเนินงานจะจัดกิจกรรมปรับกระบวนทัศน์การเรียนรู้/พัฒนาครูให้สามารถใช้เครื่องมือเว็บ
2.0 จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการได้
ศึกษาผลที่เกิดขึ้นกับครูและนักเรียนที่เรียนกับครูที่เข้าร่วมกิจกรรม
เพื่อเป็นกรณีตัวอย่างให้กับโรงเรียนในชนบทอื่น ๆ
และคาดหวังว่าจะรวบรวมองค์ความรู้จากการดำเนินงานจัดทำเป็นหนังสือ/เอกสารเผยแพร่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีเว็บ
2.0/เทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ
ตามแนวคอนสตรักชันนิสต์ และ/หรือ
หนังสือแนวทางพัฒนาครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ
เพื่อใช้ประโยชน์ในวงกว้างต่อไป
วัตถุประสงค์เพื่อ:
1)
พัฒนาครู/ปรับกระบวนทัศน์การเรียนรู้ของครู
ในโรงเรียนโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ให้สามารถใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0
จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการตามแนวคอนสตรักชันนิสต์
2)
ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนา อาทิ
มีผลการเรียนรู้เนื้อหาในระดับที่สูงขึ้น พัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21
ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน
และมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้
3)
จัดทำรายงานผลการศึกษา / กรณีศึกษาของครู /กรณีศึกษาของนักเรียน
จากการดำเนินงานโครงการฯ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับครูโรงเรียนในชนบทอื่น ๆ
4)
จัดทำคู่มือ/แนวทาง
การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ของครูในการบูรณาการเทคโนโลยีเว็บ 2.0 ในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ
5)
จัดทำหนังสือเผยแพร่ในวงกว้าง เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0
/ เทคโนโลยีสมัยใหม่จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ และ/หรือ
หนังสือแนวทางพัฒนาครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ
ดังนั้นจากหลายๆโครงการเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีต่างๆ
มาพัฒนาด้านการศึกษา ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ทรงตระหนักในความสำคัญของการศึกษาเป็นอย่างมาก การจัดการองค์ความรู้
ในมุมมองของข้าพเจ้านั้นจึงเกี่ยวกับการศึกษาในทศวรรษหน้า
ความรู้สากลเป็นความรู้ในระดับโลก
ความรู้ในระดับประเทศโดยกำหนดว่าคนไทยควรต้องเรียนรู้เรื่องอะไรบ้าง และความรู้ระดับท้องถิ่น
เรียนรู้ถึงความเป็นมาของท้องถิ่นนั้นให้สามารถโยงองค์ความรู้ทั้ง 3 ระดับ ให้เข้ากันให้ได้ นั้นต้องมีตัวช่วยนั่นคือ การใช้คอมพิวเตอร์
ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ Information Technology หรือ IT
ก้าวหน้าไปมาก คอมพิวเตอร์กลายเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในการประมวลข้อมูลในทุกๆ
ด้าน ทุกสาขาวิชาจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตเข้ามาช่วยทุกอย่าง
ชีวิตของผู้คนต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์มากขึ้น คงจะหายากที่ว่า
ทำอะไรแล้วไม่ใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์จึงมีประโยชน์เป็นอย่างมาก
ผู้ที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้
หรือผู้ที่มีความรู้ในด้านคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นสาขาใด วิชาชีพใดก็ตาม
จะได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ เป็นหลายเท่า ที่สำคัญหางานทำได้ง่ายขึ้น
จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของคอมพิวเตอร์มีมากต่อชีวิตในปัจจุบันของมนุษย์มากขึ้นจริงๆ