วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

IT for Knowledge Management

          บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ที่รู้จักกันในนามเครือซีเมนต์ไทย หรือ SCG ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2456 ด้วยพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ให้ประเทศไทยผลิตปูนซีเมนต์ใช้เอง ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ การดำเนินกิจการของเครือซีเมนต์ไทยผ่านช่วงเวลาต่างๆ มากมายเป็นเวลากว่า 100 ปี ปัจจุบันเครือซีเมนต์ไทยมีธุรกิจในเครือมากมาย นอกเหนือจากปูนซีเมนต์แล้ว ยังมีวัสดุก่อสร้างต่างๆ ธุรกิจเคมีภัณฑ์ ธุรกิจกระดาษ ธุรกิจจัดจำหน่าย ธุรกิจการลงทุน อีกด้วย
          SCG ได้มีการจัดการความรู้ หรือการทำ KM ในองค์กร เนื่องจากบริษัทยึดถึงแนวคิดที่ว่า “Humanism” คือ การมองว่าคนหรือพนักงานเป็นส่วนสำคัญมากกว่าการเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการจัดการ หรือ “Managelism” โดยเอาผลประโยชน์ของหน่วยงานเป็นหลัก ทั้งนี้เพื่อการเตรียมความรู้ทั้งภายในและภายนอกองค์กรให้พร้อมเพื่อต้องใช้งาน โดยยกตัวอย่างเปรียบเทียบว่าเมื่อเราหิวข้าวแล้วเข้าครัวเราจะต้องได้ปลากระป๋องที่พร้อมทานไม่ใช่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่จะต้องมาผ่านขั้นตอนการประกอบอาหารอีก
          การทำ KM ของ SCG ได้เริ่มทำมานานแล้ว แต่เป็นการทำแบบไม่รู้ตัว โดยอยู่ในเรื่องการบริหารงานบุคคล จนภายหลังจึงได้มาจับเข้ากับทฤษฎีการทำ KM และเขียนเป็น Story เคล็ดลับสำคัญที่จะทำให้ KM ภายในองค์กรยั่งยืนได้ คือ การทำ KM แบบ Individual คือ การที่พนักงานทุกคนพร้อมปฏิบัติด้วยตัวเอง
          กิจกรรมในการทำ KM ของ  บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) นั้นมีหลายกิจกรรม เริ่มตั้งแต่
1.       การกำหนดวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ขององค์กร
2.       การวางแผน การกำหนดตัวคนปฏิบัติงาน (Action Plan)
3.       การกำหนดนโยบายในการนำองค์กรก้าวไปสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization: LO)
4.       การสรรหาพนักงาน (Recruitment)
5.       การพัฒนาพนักงานในทุกรูปแบบที่เหมาะสม เช่น การฝึกอบรมและสัมมนา การให้ทุนการศึกษา การหมุนเวียนงาน e-Learning
6.       Talent Management
7.       Intellectual Property Management
8.       ISO-9000 หรือสร้างมาตรฐานการทำงานเป็นเอกสาร
9.       การตั้ง KM Team เพื่อทำหน้าที่หลักในการสื่อสารให้พนักงานเห็นประโยชน์ของการทำ KM
10.   การชี้ชัดให้ได้ว่าอะไรคือจุดแข็งและจุดอ่อนขององค์กร
11.   การชี้ชัดว่าองค์กรมีความรู้อะไร อยู่ที่ใคร และยังขาดอะไร
12.   การหาเครื่องมือและการจัดกิจกรรมเสริมเพื่อช่วยในการทำ KM
13.   การจัดสภาพแวดล้อมภายในองค์กรเพื่อเสริมการทำ KM
14.   การจัดให้มี CoP
          SCG นำ IT มาใช้ในการจัดการความรู้ในแต่ละขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 ตั้งวัตถุประสงค์ของการจัดการความรู้ ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของธุรกิจ เช่น SCG มีกลยุทธ์ที่จะ Go Regional จึงตั้งวัตถุประสงค์ว่าจะพัฒนาความรู้ของพนักงาน เพื่อรองรับการขยายตัวไปยังภูมิภาคอาเซียน
ขั้นที่ 2 กำหนดขอบเขตของคำว่า ความรู้ที่ต้องการ เพื่อให้ทราบว่าเราจะต้องจัดการกับเรื่องอะไรบ้าง
ขั้นที่ 3 จัดทำ Knowledge Mapping เพื่อให้ทราบว่าองค์กรของเรามีความรู้อะไรอยู่บ้าง เก็บอยู่ในรูปแบบใด เก็บอยู่ที่ใครบ้าง และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับความรู้ที่องค์กรต้องการ จะทำให้ทราบว่าองค์กรยังขาดความรู้อะไรบ้าง และความรู้ใดบ้างที่เป็นสิ่งสำคัญต่อองค์กร
ขั้นที่ 4 สร้างและเสาะแสวงหาความรู้ที่องค์กรยังขาดอยู่ หรือจัดเก็บรักษาความรู้สำคัญที่มีอยู่ในองค์กรเอาไว้เพื่อใช้ซ้ำ หรือนำมาต่อยอดเป็นความรู้ใหม่ต่อไป โดยใช้ Tools ในการสร้างสื่อความรู้ต่างๆ หรือ Tools ในการจัดเก็บหรือบันทึกความรู้ที่มีอยู่มากมายในองค์กร มิให้สูญหายไป (Knowledge Capturing Tools)
ขั้นที่ 5 การจัดเก็บความรู้ที่ได้มาอย่างเป็นระบบ เช่น จัดหมวดหมู่ความรู้ จัดทำระบบสืบค้นที่มีประสิทธิภาพ (Search Engine) จัดทำระบบการเข้าถึงความรู้ที่ง่ายต่อการใช้งาน เช่น การทำ Knowledge Web Portal เป็นต้น
ขั้นที่ 6 การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Knowledge Sharing) เป็นขั้นตอนที่สำคัญและต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและต้องปรับปรุงทั้งรูปแบบและเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ เช่น
          - การสร้าง Forum สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เช่น Blog, Chat room, Webboard
          - การสร้าง Community of Practices (CoP) หรือ ชุมชนนักปฏิบัติที่มีความสนใจใน เรื่องเดียวกัน หรือมีจุดประสงค์ร่วมกัน
          - การสร้างระบบ e-Learning ที่มีลักษณะ Blended Learning คือผสมผสานวิธีการ เรียนรู้หลายๆ แบบ เช่น เรียนรู้ด้วยตนเอง เรียนรู้จากเพื่อน หรือเรียนรู้จากวิทยากร
ขั้นที่ 7 การวัดผลและการประเมินผล เพื่อช่วยให้ทราบจุดบกพร่องต่างๆ และนำมาแก้ไข
          - การสร้างระบบทดสอบ
          - การสร้างระบบประเมินผล เช่น Vote / Poll หรือ Questionnaire
          - การสร้างระบบรายงาน ที่สามารถเก็บข้อมูลการใช้งานได้อย่างละเอียด ทุกช่วงเวลาที่ต้องการ
          การนำ IT มาใช้เพื่อการจัดการความรู้ ในแทบทุกขั้นตอนของการดำเนินงานของ SCG โดยอาศัย Infrastructure และระบบ SCG Computer Network ที่มีอยู่ในปัจจุบัน จึงสามารถสร้างระบบ Web Based Applications ที่เข้าถึงผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็วทั้งภายในและภายนอกประเทศ ปัจจุบันมี Web Portal ที่ออกแบบเพื่อรองรับการใช้งานได้ 2 ภาษา (ไทย-อังกฤษ) ซึ่งมีขอบเขตการ ทำงานครอบคลุมทั้ง E-Learning และ Knowledge Management System ระบบงานถูกออกแบบให้ สามารถเพิ่มเติม Function การทำงานได้โดยไม่จำกัด ตามแนวคิดในการออกแบบระบบที่เรียกว่า Jigsaw Module คือ สร้างเป็น Module ย่อยๆ ที่ทำงานเป็นอิสระ แต่สามารถนำมาประกอบเพื่อใช้งานร่วมกับ Module อื่นๆ ได้อย่างกลมกลืน ภายใต้ระบบใหญ่ที่สามารถให้สิทธิ์กับผู้ใช้ระดับต่างๆ เพื่อเข้าไปใช้งานหรือเพื่อเข้าไปจัดการ (เช่น Add/Change/Delete) กับข้อมูลใน Module ต่างๆ ได้อย่างคล่องตัว จุดเด่นประการหนึ่งของระบบนี้คือ ระบบสืบค้นข้อมูล (Search Engine) ที่สามารถค้นหาข้อมูลได้จากชื่อเรื่อง (Title) จากรายละเอียดที่เป็นตัวอักษร (Description) และจากคำหลัก (Keyword หรือ Tag) นอกจากนี้ ระบบ SCG eLearning ยังมีระบบรายงานที่มีประสิทธิภาพ สามารถรายงานพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้ได้ตลอดทุกวินาทีตั้งแต่เริ่มต้น Log-in จนกระทั่งออกจากระบบ โดย Administrator สามารถสร้างรายงานตามช่วงระยะเวลาที่ต้องการได้ และสามารถ Export รายงานไปยัง Excel เพื่อนำไปวิเคราะห์หรือสามารถนำไปสร้าง Chart เพื่อใช้ในการนำเสนอต่อไป

          สำหรับเนื้อหาความรู้ (Contents) ใช้หลักการเดียวกับ Wikipedia คือผู้ใช้เป็นผู้ให้ความรู้แก่กันและ กัน โดยระบบจะ Provide เครื่องมือง่ายๆ แก่ผู้ใช้ ที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำเสนอเรื่องราวต่างๆ แก่ผู้อื่น หรือร่วมเป็นผู้ดูแลระบบ ตามสิทธิที่ได้รับมอบหมายจาก Administrator

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯกับการจัดการองค์ความรู้ในมุมมองของข้าพเจ้า" นางสาววริณศิญา พงษ์เกษ 5511600293

"สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯกับการจัดการองค์ความรู้ในมุมมองของข้าพเจ้า"

                ด้วยเหตุที่ทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า การศึกษานั้นคือการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีสายพระเนตรอันยาวไกล ในอันที่จะนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มโอกาสทางการศึกษาของประชาชน ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหลายรูปแบบในโครงการพัฒนา เพื่อนำความร่มเย็นเป็นสุขให้เกิดแก่ประชาชนชาวไทย การนำเทคโนโลยีมามุ่งที่การพัฒนากลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม ได้แก่
1. โรงเรียนในชนบท
2. ผู้พิการ
3. เด็กป่วยในโรงพยาบาล
4. ผู้ต้องโทษคุมขังในเรือนจำทัณฑสถาน และเยาวชนในสถานพินิจ
แนวทางการดำเนินงานตามพระราชดำริ
1.สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริ ที่จะให้งานทั้งหลายที่เกิดในโครงการนี้เป็นงานนำร่อง เพื่อให้เป็นตัวอย่างในการ นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาการศึกษาของนักเรียนในชนบท ส่งเสริมสมรรถภาพของผู้พิการและผู้ด้อยโอกาสในสังคม รวมทั้งการเผยแพร่วัฒนธรรมของไทยแก่ชาวไทยและชาวโลก
2.การดำเนินงานสืบเนื่องจากโครงการนำร่อง มีพระประสงค์ที่จะให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบในเรื่องนั้นๆ มารับช่วงต่อไปพร้อมๆ กับการพัฒนาโรงเรียนอื่นๆ ในความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นด้วย ระหว่างการดำเนินโครงการได้ขอให้หน่วยงานของรัฐบาลเหล่านั้น ช่วยประเมินผลโครงการและกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองพระบาทเป็นระยะ
       สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงตระหนักถึงประโยชน์และความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารราชการและการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเสริมและพัฒนาคุณภาพ และศักยภาพของเด็กไทยในชนบท เด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ ให้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต เพื่อการเรียนรู้ และการประกอบอาชีพ
       โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาของโรงเรียนในชนบท (ทสรช.) จึงเป็นโครงการตามพระราชดำริที่เกิดขึ้นเกือบจะพร้อมกับโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อปลายปีพุทธศักราช 2538 กระทั่งปัจจุบันมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 85 แห่ง ต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระราชทานให้ขยายการดำเนินไปยังกลุ่มโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม 15 โรงเรียนในภาคใต้ และกลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรมใน 4 จังหวัดภาคเหนือ

       โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาเริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี 2538 มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของกลุ่ม ผู้ด้อยโอกาสโดยเฉพาะโรงเรียนในชนบท ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอซีที (ICT: Information and Communication Technology) เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และแสวงหาความรู้เพื่อให้มีโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิต เพิ่มโอกาสทางการศึกษา และเผยแพร่ผลงานหรือถ่ายทอดส่วนที่สำเร็จด้วยดีแก่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรงในเรื่องนั้นๆ เพื่อรับช่วงต่อในการขยายผลใน วงกว้างต่อไป กิจกรรมที่ดำเนินงานครอบคลุม 4 ด้าน ดังนี้
1. ด้านสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน: เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี โดยจัดโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นแก่โรงเรียนที่ขาดแคลน ได้ดำเนินกิจกรรมดังนี้
    • การสนับสนุนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ที่สนับสนุนการใช้ไอซีทีในการศึกษา
    • การพัฒนาบุคลากรซ่อมบำรุงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เบื้องต้น

2. ด้านสนับสนุนแหล่งเรียนรู้ เนื้อหา และสื่อ: ได้ดำเนินกิจกรรมดังนี้
    • ระบบ e-Learning ของการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม (eDLTV)
    • การส่งเสริมการใช้บทเรียน SAS Curriculum Pathways ในประเทศไทย
3. ด้านพัฒนาศักยภาพครู และผู้บริหาร นักเรียน: ได้ดำเนินกิจกรรมดังนี้
   • บูรณาการไอซีทีในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนประถมศึกษา
   • การพัฒนาทักษะด้านอิเล็กทรอนิกส์และการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
   • ไอทีเพื่อการศึกษาของโรงเรียนพระปริยัติธรรม
   • ไอทีเพื่อการศึกษาของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม

4. ด้านการประยุกต์ใช้ไอซีทีเพื่อจัดการเรียนรู้: เพื่อให้ครูสามารถประยุกต์ใช้ไอซีทีจัดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เรียนได้ความรู้ รวมถึงพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่     21 ได้ดำเนินกิจกรรมดังนี้
   • การเรียนรู้สู่การเป็นครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0 จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ
   • สังคมออนไลน์เพื่อพัฒนาเยาวชนนักคิด (KIDkids)
การดำเนินงานที่ผ่านมาของโครงการไอทีเพื่อการศึกษา
1. โครงการพัฒนาการเรียนการสอนด้วยสื่อ Physics Cyber Lab
2. โครงการคัดเลือกบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและจัดทำแผนการสอนเพื่อเผยแพร่ระดับประถมศึกษา
3. โครงการพัฒนา และเผยแพร่การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนระดับมัธยมและประถมศึกษา
4. โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศโรงเรียนมัธยมศึกษาจังหวัดนครนายก
5. โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์

ซึ่งแต่ละโครงการเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาการศึกษาดังรายละเอียดต่อไปนี้
1. โครงการพัฒนาการเรียนการสอนด้วยสื่อ Physics Cyber Lab
โครงการนี้ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2545 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารูปแบบและวิธีการในการนำสื่อการสอน Physics Cyber Lab ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงเพื่อใช้สื่อดังกล่าวเป็นสื่อเสริมการสอนให้กับครูผู้สอนวิชาฟิสิกส์ของโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ นอกจากนี้ยังเป็นการพัฒนาศักยภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาฟิสิกส์ให้นักเรียนได้เข้าใจและมีทักษะความชำนาญในวิชาฟิสิกส์เพิ่มมากขึ้น โดยส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
การดำเนินงาน แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
1. โครงการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาฟิสิกส์ระดับชั้นมัธยมศึกษาโดยใช้สื่อ Physics Cyber  Lab
2. โครงการพัฒนาการเรียนการสอน Physics Cyber Lab
3. โครงการติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน การพัฒนาการเรียนการสอนด้วยสื่อ Physics Cyber Lab

2. โครงการคัดเลือกบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและจัดทำแผนการสอนเพื่อเผยแพร่ระดับประถมศึกษาตอนต้น
วัตถุประสงค์ เพื่อคัดเลือก CAI สำเร็จรูปที่มีคุณภาพมาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นสื่อในการเรียนการสอน และจัดทำแผนการสอนให้สอดคล้องกับหลักสูตรในระดับประถมศึกษาตอนต้น พร้อมทั้งอบรมครูผู้สอนถึงการประยุกต์ใช้โปรแกรมการศึกษาเพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอน จากนั้นทำการติดตามประเมินผลเพื่อขยายไปสู่โรงเรียนอื่นๆ ที่เปิดสอนในระดับประถมศึกษาต่อไป
โครงการนี้ ได้เริ่มโครงการนำร่องที่โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ในเดือนธันวาคม 2541 และดำเนินการประยุกต์ใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในห้องเรียนเรื่อยมา จากนั้นโครงการฯ ได้ขยายผลแนวทางการประยุกต์ใช้สู่โรงเรียนต่างๆ ได้แก่ โรงเรียนศรีสังวาลย์ ในเดือนพฤษภาคม 2544, โรงเรียนกาวิละอนุกูล จังหวัดเชียงใหม่ ในเดือนกันยายน 2544 และโรงเรียนในกลุ่มสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) จำนวน 12 โรงเรียน ซึ่งจะดำเนินการในปี 2545

3. โครงการส่งเสริมไอซีทีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนประถมศึกษา
 เป็นโครงการที่จัดทำขึ้นเพื่อต่อยอดกิจกรรมการประยุกต์ใช้ไอซีทีในการเรียนการสอนให้แก่ โรงเรียนในระดับประถมศึกษา ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการคัดเลือกบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและจัดทำแผนการสอนเพื่อเผยแพร่ในระดับประถมศึกษาตอนต้น (CAI) เดิม โดย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ครูที่สอนในระดับประถมศึกษา สามารถนำเครื่องมือไอซีที มาส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้แก่นักเรียน เพื่อพัฒนาให้นักเรียนในโครงการฯ ได้มีทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหา รวมถึงเสริมสร้างพฤติกรรมการกล้าคิด กล้าแสดง อันเป็นทักษะหนึ่งที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21
และยังเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์แก่นักเรียนในชนบท อันจะส่งผลต่อการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในอนาคตต่อไป
    สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงตระหนักถึงประโยชน์ และศักยภาพของเทคโนโลยี สารสนเทศหรือไอซีที ในการพัฒนาประเทศและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ด้อยโอกาส และได้ทรงริเริ่มให้จัดทำโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริขึ้นในปี พ.ศ.2538 ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการยกระดับคุณภาพชีวิต และเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนในชนบทได้มีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ตลอดจนพัฒนาครูและบุคลากรของโรงเรียนในชนบทให้สามารถใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการเรียนรู้แก่นักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในการดำเนินโครงการฯ ที่ผ่านมา มุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้ ICT ในการเรียนการสอนระดับมัธยมศึกษาเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากโรงเรียนส่วนใหญ่ในโครงการฯ เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษา นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงความพร้อมของครู และโครงสร้างพื้นฐานในโรงเรียนที่จำเป็นต่อการนำ ICT มาประยุกต์ใช้ ณ ขณะนั้น พบว่าในระดับมัธยมศึกษาจะมีความพร้อมมากกว่า โดยในระดับประถมศึกษา จะมีเพียงการดำเนินโครงการคัดเลือกบทเรียนช่วยสอนและจัดทำแผนการสอน สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น ที่เป็นการจัดหาโปรแกรม CAI ที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ เพื่อมอบให้แก่โรงเรียนได้ใช้ในการเรียนการสอนเท่านั้น โดยในการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว ได้มีการจัดอบรมความรู้ในการใช้โปรแกรม การจัดทำแผนการสอน และแผนกิจกรรม เพื่อให้ครูสามารถนำ CAI ดังกล่าวมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งพบว่า ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยโรงเรียนยังคงใช้งานโปรแกรมดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีความสามารถในการคัดเลือกโปรแกรมใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้เพิ่มเติม นอกจากนี้ฝ่ายเลขานุการฯ ยังได้จัดให้มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การใช้งานโปรแกรม และการจัดกิจกรรมในห้องเรียน ระหว่างโรงเรียนในโครงการอย่างสม่ำเสมอปีละครั้งด้วย
     อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบันพบว่า สถานภาพด้านการมีคอมพิวเตอร์และโครงสร้างพื้นฐาน เช่นอินเทอร์เน็ต ในโรงเรียนในโครงการฯ มีความพร้อมมากขึ้น อีกทั้งปัจจุบันก็มีเครื่องมือและวิธีการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบที่หลากหลายให้ครูได้เลือกใช้มากขึ้น จึงควรริเริ่มโครงการที่เน้นการพัฒนาการเรียนการสอนกับกลุ่มโรงเรียนประถมศึกษา หรือกับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาในโรงเรียน ทสรช. ด้วย(โรงเรียน ทสรช. ส่วนใหญ่มีนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาตอนต้นจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่ที่ผ่านมาโครงการฯ จะเน้นการทำโครงการย่อยหรือกิจกรรมสำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษามากกว่า) ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอโครงการพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนประถมศึกษา เป็นโครงการใหม่ที่จะเริ่มดำเนินการในปี 2553 ภายใต้โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ โดยมีวัตถุประสงค์โดยรวมคือเพื่อให้ครูที่สอนในระดับประถมศึกษาของโรงเรียนในโครงการฯ สามารถนำเครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศ มาส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนในหลากหลายสาขาวิชามากขึ้น ร่วมถึงมุ่งหวังให้นักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ และเสริมสร้างพฤติกรรม การกล้าคิด กล้าแสดง ให้แก่นักเรียนอย่างยั่งยืนต่อไป
ในการดำเนินงาน ฝ่ายเลขานุการโครงการฯ จะร่วมมือกับ ฝ่ายสร้างความตระหนักทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อสังคม ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินการจัดทำ โครงการพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนประถมศึกษาขึ้น เพื่อพัฒนาให้ครูในโรงเรียนสามารถนำเทคนิคการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ในรูปแบบที่หลากหลาย มาประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องมือไอซีที เพื่อส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้ และปลูกฝังทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ให้แก่นักเรียน
วัตถุประสงค์
1. เพื่อปลูกฝังให้นักเรียนมีความคิดเป็นเหตุเป็นผล ชอบศึกษาค้นคว้า และพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้เครื่องมือไอซีทีช่วยในการส่งเสริมทักษะการเรียนรู้
2. เพื่อพัฒนาให้ครูสามารถนำเทคนิคการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ในรูปแบบที่หลากหลาย มาประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องมือไอซีที เพื่อส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้แก่นักเรียนในโรงเรียนต่อไป
3. สนับสนุนให้โรงเรียนจัดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเปิดโอกาสในการช่วยพัฒนากระบวนการคิดของนักเรียนผ่านกิจกรรมวิทยาศาสตร์ อย่างต่อเนื่อง
4. ส่งเสริมให้ครู และนักเรียนได้มีโอกาสเข้าร่วมในกิจกรรม และเผยแพร่ผลงานในเวทีทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของหน่วยงานต่าง ๆ
5. เกิดแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และรวบร่วมผลงาน ข้อมูลการจัดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนในโครงการ ฯ รวมทั้งบันทึกประสบการณ์ของครูและนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อเผยแพร่ให้แก่โรงเรียนอื่น ๆ ในรูปแบบออนไลน์ต่อไป

4. โครงการเทคโนโลยีสารสนเทศโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์

วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ให้มีความพร้อมด้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และเครื่องมือช่วยการเรียนการสอน เนื่องจากเป็นโรงเรียนที่เปิดสอนเฉพาะระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ โดยเน้นการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน และการค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ต เพื่อให้นักเรียนผู้มีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สามารถแสวงหาและเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การดำเนินงาน โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ ได้รับพระราชทานเครื่องคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ IBM Pentium-100 พร้อมระบบ Multimedia จำนวน 20 เครื่อง ปัจจุบันโรงเรียนได้เปิดสอนวิชาพื้นฐาน วิชาอาชีพ รายวิชาคอมพิวเตอร์ ให้แก่นักเรียนทุกคนของโรงเรียน และในปีที่ผ่านมา โรงเรียนได้จัดอบรมให้แก่ครู-อาจารย์ในจังหวัดนครปฐม 2 รุ่นๆ ละ 35 คน, อบรมผู้บริหารโรงเรียนในจังหวัดนครปฐมเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์, อบรมครู-อาจารย์ในโรงเรียนเกี่ยวกับการใช้ Windows 95 และการจัดทำโปรแกรม CAI และฝึกนักเรียนให้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตและเขียน home page โดยใช้ภาษา HTML
นอกจากนี้ โรงเรียนได้เข้าร่วมในโครงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียนไทย (SchoolNet) ตั้งแต่ปี 2538 เพื่อให้นักเรียนใช้ค้นข้อมูล และการสอนให้ทำ home page ในปี 2541 นี้ โรงเรียนได้ทำการปรับปรุงระบบอินเทอร์เน็ตของโรงเรียนเพื่อเป็น Internet Node สำหรับผู้ใช้จำนวน 30 คน ดังนี้
1. ทำการปรับปรุงห้อง Internet ให้เป็นระบบ Intranet และสามารถเชื่อมต่อ Internet ได้จำนวน 35 เครื่อง โดยใช้ Software Webram ผ่าน Modem จำนวน 3 ตัว ใช้งบเงินของสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จำนวน 250,000 บาท ในปีการศึกษา 2541 ได้เปิดให้นักเรียนและครู-อาจารย์ใช้บริการทุกวัน
2. โรงเรียนได้ปรับปรุงห้องคอมพิวเตอร์ ให้นักเรียนสามารถใช้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เงินของสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ในการปรับปรุง ในปีการศึกษา 2541 จำนวน 350,000 บาท
3. โรงเรียนได้จัดซื้อคอมพิวเตอร์ สำหรับครูใช้งานในห้องวิชาการ จำนวน 5 เครื่อง โดยใช้เงินของสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จำนวน 150,000 บาท
4. โรงเรียนได้ปรับระบบการบริหารโรงเรียนโดยสามารถเชื่อมข้อมูลกันได้ทุกฝ่าย ผ่าน Server ที่ใช้ระบบ Windows NT ใช้เงินของสมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จำนวน 250,000 บาท
5. โรงเรียนได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานโปรแกรมห้องสมุดของบริษัท ISOFAC มาติดตั้งที่ Server ระบบบริหารของโรงเรียน เพื่อเป็นโปรแกรมใช้งานบริการของห้องสมุด ซึ่งขณะนี้ โรงเรียนกำลังฝึกหัดเจ้าหน้าที่ในการใช้โปรแกรมนี้ เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถใช้งานโปรแกรมนี้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว โรงเรียนจะติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อให้การบริการแก่นักเรียนที่ห้องสมุด จำนวน 5 ชุด เป็นเงินจำนวน 250,000 บาท
5. โครงการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ตามแนวคอนสตรักชันนิสต์ สู่การปฏิบัติของครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0 จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ
โรงเรียนในโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนกลุ่มด้อยโอกาสที่อยู่ห่างไกลในชนบท ฝ่ายเลขานุการโครงการฯเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนากำลังคน ครู เยาวชนในชนบทหรือท้องถิ่นทุรกันดาร ดังกล่าว จึงดำเนินกิจกรรมหนึ่งที่มุ่งเน้นให้ครูสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีทีจัดการเรียนการสอน อันจะมุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ผ่านการนำไอซีทีมาใช้เป็นเครื่องมือในเรียนรู้เนื้อหาสาระ มีศักยภาพในการเลือก รับ วิเคราะห์ ตัดสินใจในข้อมูล รวมทั้งส่งเสริมให้มีทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21
ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะสำคัญ 5 ประการคือ ความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ในปี 2554 ที่ผ่านมาได้ดำเนินกิจกรรมที่ให้ความสำคัญกับการนำไอซีทีมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ดำเนินงานโครงการวิจัยเรื่อง การพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียนยุคใหม่เพื่อรองรับการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองด้วยการบูรณาการไอซีทีในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงานโดยมุ่งเน้นการใช้ไอซีทีจัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ เป็นการจัดการเรียนการสอนตามแนวทางของ คอนสตรักชันนิสต์ ที่เน้นให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการวางแผนออกแบบ และสร้างสิ่งที่มีความหมายกับตนเองอย่างตื่นตัวในบริบทสังคม โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารหรือไอซีที มาเป็นเครื่องมือให้ผู้เรียนสร้างเป็นชิ้นงานและตอบสนองความคิดและจินตนาการของผู้เรียน ให้เหมาะสมกับวัยของผู้เรียนและเนื้อหาสาระที่ครูสอน ซึ่งผลจากการทำโครงการวิจัยเรื่อง การพัฒนาคุณลักษณะผู้เรียนยุคใหม่เพื่อรองรับการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองด้วยการบูรณาการไอซีทีในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงาน ได้ข้อสรุปว่าวิธีการบูรณาการไอซีทีในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงาน สามารถพัฒนาผู้เรียนด้านความรู้เนื้อหาสาระ และสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนทั้ง 5 ด้านได้ ได้แก่ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และการใช้ทักษะชีวิต นอกจากนี้ ยังพบว่า การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ เป็นปัจจัยความสำเร็จ ที่จำเป็นอย่างยิ่ง ต่อการบูรณาการไอซีทีในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ แม้โรงเรียนจะมีปัจจัยอื่น ๆ ไม่สมบูรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ หรืออินเทอร์เน็ตที่ไม่สะดวกต่อการใช้งาน แต่ครูที่มีการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้สามารถดำเนินการจัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนสร้างผลิตผลหรือชิ้นงานได้ ในขณะครูที่ยึดติดอยู่กับกรอบความคิดแบบเดิมเดิม ยังเชื่อว่าการสอนที่เน้นการบรรยายอธิบายจากครูทำให้ผู้เรียนได้ความรู้เนื้อหามากกว่า จึงมุ่งถ่ายทอดเนื้อหาให้ครบตามหลักสูตร โดยผู้เรียนไม่มีโอกาสใช้ไอซีทีสร้างชิ้นงานหรือทำโครงการในการเรียนรู้ ดังนั้นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ของครูจึงเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ

     ดังนั้น คณะทำงานจึงสนใจศึกษา การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ตามแนวคอนสตรักชันนิสต์ สู่การปฏิบัติของครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0 จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ โดยใช้กระบวนการวิจัยในการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล โดยทดลองศึกษาเชิงลึกที่โรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต จ.กาญจนบุรี ในการดำเนินงานจะจัดกิจกรรมปรับกระบวนทัศน์การเรียนรู้/พัฒนาครูให้สามารถใช้เครื่องมือเว็บ 2.0 จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการได้ ศึกษาผลที่เกิดขึ้นกับครูและนักเรียนที่เรียนกับครูที่เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อเป็นกรณีตัวอย่างให้กับโรงเรียนในชนบทอื่น ๆ และคาดหวังว่าจะรวบรวมองค์ความรู้จากการดำเนินงานจัดทำเป็นหนังสือ/เอกสารเผยแพร่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0/เทคโนโลยีสมัยใหม่ ในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ ตามแนวคอนสตรักชันนิสต์ และ/หรือ หนังสือแนวทางพัฒนาครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ เพื่อใช้ประโยชน์ในวงกว้างต่อไป
วัตถุประสงค์เพื่อ:
1) พัฒนาครู/ปรับกระบวนทัศน์การเรียนรู้ของครู ในโรงเรียนโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้สามารถใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0 จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการตามแนวคอนสตรักชันนิสต์
2) ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนา อาทิ มีผลการเรียนรู้เนื้อหาในระดับที่สูงขึ้น พัฒนาทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน และมีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้
3) จัดทำรายงานผลการศึกษา / กรณีศึกษาของครู /กรณีศึกษาของนักเรียน จากการดำเนินงานโครงการฯ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับครูโรงเรียนในชนบทอื่น ๆ
4) จัดทำคู่มือ/แนวทาง การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนรู้ของครูในการบูรณาการเทคโนโลยีเว็บ 2.0 ในการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ
5) จัดทำหนังสือเผยแพร่ในวงกว้าง เกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเว็บ 2.0 / เทคโนโลยีสมัยใหม่จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ และ/หรือ หนังสือแนวทางพัฒนาครูยุคใหม่ในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่จัดการเรียนรู้ด้วยโครงการ

ดังนั้นจากหลายๆโครงการเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาพัฒนาด้านการศึกษา ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงตระหนักในความสำคัญของการศึกษาเป็นอย่างมาก การจัดการองค์ความรู้ ในมุมมองของข้าพเจ้านั้นจึงเกี่ยวกับการศึกษาในทศวรรษหน้า ความรู้สากลเป็นความรู้ในระดับโลก ความรู้ในระดับประเทศโดยกำหนดว่าคนไทยควรต้องเรียนรู้เรื่องอะไรบ้าง และความรู้ระดับท้องถิ่น เรียนรู้ถึงความเป็นมาของท้องถิ่นนั้นให้สามารถโยงองค์ความรู้ทั้ง 3 ระดับ ให้เข้ากันให้ได้ นั้นต้องมีตัวช่วยนั่นคือ การใช้คอมพิวเตอร์ ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศหรือ Information Technology หรือ IT ก้าวหน้าไปมาก คอมพิวเตอร์กลายเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในการประมวลข้อมูลในทุกๆ ด้าน ทุกสาขาวิชาจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตเข้ามาช่วยทุกอย่าง ชีวิตของผู้คนต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์มากขึ้น คงจะหายากที่ว่า ทำอะไรแล้วไม่ใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์จึงมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ผู้ที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ หรือผู้ที่มีความรู้ในด้านคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นสาขาใด วิชาชีพใดก็ตาม จะได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ เป็นหลายเท่า ที่สำคัญหางานทำได้ง่ายขึ้น จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของคอมพิวเตอร์มีมากต่อชีวิตในปัจจุบันของมนุษย์มากขึ้นจริงๆ